หลักการขับร้อง โดย นางสาวปิยธิดา โนวัฒน์
คำนำ
รายงานเล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง หลักและวิธีการขับร้องเพลง
ผู้จัดทำได้ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ หลักและวิธีการขับร้องเพลงไทยและเพลงสากล
ไว้อย่างครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ผู้สนใจอ่านทราบถึงความสำคัญ
และรายละเอียดของแหล่งการเรียนรู้ ซึ่งรายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ดนตรี-นาฏศิลป์
เป็นการฝึกทักษะการค้นคว้าหาข้อมูลได้เป็นอย่างดี หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำได้ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ หลักและวิธีการขับร้องเพลงไทยและเพลงสากล
ไว้อย่างครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ผู้สนใจอ่านทราบถึงความสำคัญ
และรายละเอียดของแหล่งการเรียนรู้ ซึ่งรายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ดนตรี-นาฏศิลป์
เป็นการฝึกทักษะการค้นคว้าหาข้อมูลได้เป็นอย่างดี หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
นางสาวปิยธิดา โนวัฒน์
วิดีโอการขับร้องเพลงสากล
หลักการขับร้องเพลงไทย
1. วิธีการเปล่งเสียง
-ในการขับร้องเพลง สิ่งแรกที่ทำให้ผู้เกิดความสนใจ คือ เสียง การร้องเพลงผู้ขับร้องต้องรู้จักวิธีการ
เปล่งเสียงเพื่อให้ได้เสียงที่มีคุณภาพออกมาการเปล่งเสียงร้องที่ดีต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นขั้นตอน
ดังนี้
เปล่งเสียงเพื่อให้ได้เสียงที่มีคุณภาพออกมาการเปล่งเสียงร้องที่ดีต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นขั้นตอน
ดังนี้
1.1 การฝึกออกเสียง เป็นการเริ่มต้นการฝึกหัดร้องเพลง เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับระดับเสียง
ดนตรี โดยเทียบกับเสียงของเครื่องดนตรี
ดนตรี โดยเทียบกับเสียงของเครื่องดนตรี
1.2 การฝึกการบังคับเสียง เป็นการบังคับเสียงให้ออกมาโดยถูกทิศทางชึ่งอาจต้องใช้อวัยวะภายใน
ปากเป็นส่วนช่วยในการเปล่งเสียง ได้แก่ คอ ลิ้นปี่ เพดาน ปุ่มเหงือก ไรฟัน ลิ้น คากและปาก เป็นต้น
ปากเป็นส่วนช่วยในการเปล่งเสียง ได้แก่ คอ ลิ้นปี่ เพดาน ปุ่มเหงือก ไรฟัน ลิ้น คากและปาก เป็นต้น
1.3 การฝึกกล้าเนื้อคอ เพื่อให้เกิดความแข็งแรง สามารถบังคับกล้ามเนื้อให้เปล่งเสียงตามที่ต้อง
การ มักจะใช้กับการร้องที่ต้องการเสียงที่อ่อนพลิ้ว สั่นระรัว เช่น การครั่นเสียง เป็นต้น
การ มักจะใช้กับการร้องที่ต้องการเสียงที่อ่อนพลิ้ว สั่นระรัว เช่น การครั่นเสียง เป็นต้น
1.4 การฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้อง การฝึกกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องเพื่อให้แข็งแรงจะเป็นประโยชน์
ในการขับร้องเพลงที่มีเสียงสูง ซึ่งในขณะเปล่งเสียงสูงผู้ร้องต้องเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องแล้ว
ค่อย ๆ เปล่งเสียงออกมา โดยให้ลมบริเวณหน้าท้องเลื่อนขึ้นมา เสียงที่เปล่งออกมามีน้ำหนัก ดังลึก
ทำให้ช่วยยืดเสียงได้ยาวต่อไป การฝึกด้วยวิธีนี้บ่อย ๆ จะทำให้เกิดเสียงใส น้ำเสียงมีพลัง การร้อง
จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในการขับร้องเพลงที่มีเสียงสูง ซึ่งในขณะเปล่งเสียงสูงผู้ร้องต้องเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องแล้ว
ค่อย ๆ เปล่งเสียงออกมา โดยให้ลมบริเวณหน้าท้องเลื่อนขึ้นมา เสียงที่เปล่งออกมามีน้ำหนัก ดังลึก
ทำให้ช่วยยืดเสียงได้ยาวต่อไป การฝึกด้วยวิธีนี้บ่อย ๆ จะทำให้เกิดเสียงใส น้ำเสียงมีพลัง การร้อง
จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การฝึกไล่เสียง
หลังจากที่ได้ฝึกการเปล่งเสียงร้องจนมีความชำนาญแล้ว ควรฝึกการไล่เสียงร้อง เพื่อให้ถูกต้องตรง
ตามระดับเสียงดนตรีโดยเริ่มจากเสียงต่ำไปหาสูง เมื่อสามารถร้องได้ตามเสียงที่ต้องการแล้ว จึงเริ่ม
ฝึกร้องให้ได้เสียงที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะหยุดร้องที่ระดับเสียงเดียวไม่ได้ให้ฝึกร้องไปจนกว่าจะถึงระดับ
เสียงสุดท้ายที่กำลังร้อง
ตามระดับเสียงดนตรีโดยเริ่มจากเสียงต่ำไปหาสูง เมื่อสามารถร้องได้ตามเสียงที่ต้องการแล้ว จึงเริ่ม
ฝึกร้องให้ได้เสียงที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะหยุดร้องที่ระดับเสียงเดียวไม่ได้ให้ฝึกร้องไปจนกว่าจะถึงระดับ
เสียงสุดท้ายที่กำลังร้อง
การใช้ลมหายใจ
การหายใจ ผู้ขับร้องจะต้องจำตำแหน่งที่ใช้สำหรับหายใจของเพลงแต่ละเพลงไว้ให้ได้เพราะลมหายใจ
ในการร้องเพลง มีส่วนในการร้องเพลง มีส่วนช่วยในการร้องเพลงให้เกิดความไพเราะน่าฟัง ในการ
ร้องเพลงทุกประเภท การรู้จักใช้ลมหายใจให้ถูกต้องนั้นจะทำให้การร้องเพลงนุ่มนวล อ่อนหนาวแข็ง
กระด้างหรือเสียงขาดเป็นช่วง ๆ อีกทั้งเป็นการช่วยผ่อนแรงในการร้อง
ในการร้องเพลง มีส่วนในการร้องเพลง มีส่วนช่วยในการร้องเพลงให้เกิดความไพเราะน่าฟัง ในการ
ร้องเพลงทุกประเภท การรู้จักใช้ลมหายใจให้ถูกต้องนั้นจะทำให้การร้องเพลงนุ่มนวล อ่อนหนาวแข็ง
กระด้างหรือเสียงขาดเป็นช่วง ๆ อีกทั้งเป็นการช่วยผ่อนแรงในการร้อง
การใช้คำในการขับร้อง
คำต่าง ๆ ที่อยู่ในบทร้องเพลงไทย ผู้ชับร้องต้องนำคำต่างๆ เหล่านั้นมาใช้ออกเสียงใน 2 ลักษณะ
คือ
คือ
1.การเอื้อน เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการขับร้องเพลงไทย ผู้ขับร้องต้องรู้จักการใช้เสียงในการเอื้อน
ซึ่งมีอยู่หลายวิธีหลายเสียง การออกเสียงเอื้อนจำเป็นต้องอาศัยพยัญชนะ สระและเสียงวรรณยุกต์
ที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งมีอยู่หลายวิธีหลายเสียง การออกเสียงเอื้อนจำเป็นต้องอาศัยพยัญชนะ สระและเสียงวรรณยุกต์
ที่แตกต่างกันออกไป
2.การออกเสียงคำร้อง การออกเสียงได้ถูกต้องตามอักขรวิธีชัดถ้อยชัดคำ รวมทั้งการแบ่งคำร้อง
และการแบ่งวรรคตอนในขณะทำการขับร้องได้เหมาะสม เป็นสิ่งที่ผู้ขับร้องทุกคนต้องปฏิบัติ
และการแบ่งวรรคตอนในขณะทำการขับร้องได้เหมาะสม เป็นสิ่งที่ผู้ขับร้องทุกคนต้องปฏิบัติ
เทคนิคการขับร้องเพลงไทย
ในการขับร้องเพลงไทยให้ได้ความไพเราะซาบชึ้ง เกิดจากการผู้ขับร้องใส่อารมณ์และความรู้สึกในบท
เพลง การใส่อารมณ์ในการบัขร้องเป็นเรื่องที่ทำค่อนข้างยาก ผู้ขับร้องที่จะร้องเพลงให้ได้อารมณ์นั้น
ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการขับร้องมาเป็นระยะเวลาพอสมควร การสร้างอารมณ์ในการชับร้อง
ต้องอาศัยส่วนประกอบอื่น ๆ
เพลง การใส่อารมณ์ในการบัขร้องเป็นเรื่องที่ทำค่อนข้างยาก ผู้ขับร้องที่จะร้องเพลงให้ได้อารมณ์นั้น
ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการขับร้องมาเป็นระยะเวลาพอสมควร การสร้างอารมณ์ในการชับร้อง
ต้องอาศัยส่วนประกอบอื่น ๆ
1.การใช้เสียงพิเศษ
-เสียงพิเศษที่ใช้ในการชับร้องเป็นเทคนิคที่นักร้องในสมัยโบราณนิยมใช้กันมากและนักร้องทุก ๆ คน
จะพยายามฝึกฝนเสียงต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อให้การขับร้องเพลงได้ไพเราะยิ่งขึ้นแต่การใช้เสียงพิเศษนี้
ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน นักร้องที่ไม่ได้ฝึกฝนไม่สามารถจะทำได้ เพราะเป็นสิ่งที่ยากพอสมควร
จะพยายามฝึกฝนเสียงต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อให้การขับร้องเพลงได้ไพเราะยิ่งขึ้นแต่การใช้เสียงพิเศษนี้
ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน นักร้องที่ไม่ได้ฝึกฝนไม่สามารถจะทำได้ เพราะเป็นสิ่งที่ยากพอสมควร
2.การแสดงออกถึงอารมณ์ในการขับร้อง
-การขับร้องเพลงไทยให้ได้ความไพเราะซาบชึ้ง เกิดจากผู้ขับร้องใส่อารมณ์และความรู้สึกในบทเพลง
การใส่อารมณ์ในการขับร้องเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ผู้ขับร้องที่จะร้องเพลงให้ได้อารมณ์นั้น
การใส่อารมณ์ในการขับร้องเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ผู้ขับร้องที่จะร้องเพลงให้ได้อารมณ์นั้น
3.การแสดงออกทางบุคลิกภาพ
-บุคลิกภาพของนักเรียนและนักดนตรีมีความสำคัญมาก ผู้บรรเลงและผู้ขับร้องจะอยู่ในอาการที่สงบ
เสงี่ยม เรียนร้อย นุ่มนวล อ่อนโยน ไม่กระด้าง
เสงี่ยม เรียนร้อย นุ่มนวล อ่อนโยน ไม่กระด้าง
ลักษณะของผู้ที่จะฝึกขับร้องเพลง
ผู้ที่จะสามารถขับร้องเพลงให้ไพเราะได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตัวหลายประการซึ่งโดยทั่วไปแล้ว
ผู้ที่มีความสามารถในการฝึกหัดขับร้องเพลง ควรมีลักษณะ ดังนี้
ผู้ที่มีความสามารถในการฝึกหัดขับร้องเพลง ควรมีลักษณะ ดังนี้
1. มีความสุขพลานามัยสมบรูณ์
2. บุคลิกภาพที่ดี
3. มีเสียงกังวานแจ่มใส
4. ออกเสียงให้ถูกต้องตามอัขรวิธี
5. เป็นผู้รู้จังหวะ
6. เป็นผู้ชอบการแสดง
7. เป็นผู้ที่มีความจำอยู่ในเกณฑ์ดี
8. เป็นผู้มีสมองปราดเปรือง
การขับร้องเพลงสากล หมายถึง การเปล่งเสียงและถ้อยคำเป็นทำนองอย่างไพเราะ ด้วยคุณภาพเสียง
ที่ดี ถ้อยคำที่เป็นเนื้อร้องต้องร้องออกมาอย่างถูกต้องและชัดเจน สอดคล้องกับลีลาและจังหวะ
ที่ดี ถ้อยคำที่เป็นเนื้อร้องต้องร้องออกมาอย่างถูกต้องและชัดเจน สอดคล้องกับลีลาและจังหวะ
รูปแบบการขับร้อง
1. การชับร้องเดียว คือ การขับร้องเพลงเดียว จะมีดนตรีประกอบหรือไม่มีก็ได้ ผู้ที่สามารถทำการ
ขับร้องเดี่ยวได้ จะต้องมีความสามารถในการขับร้องเป็นอย่างมาก
ขับร้องเดี่ยวได้ จะต้องมีความสามารถในการขับร้องเป็นอย่างมาก
2. การขับร้องหมู่ คือ การขับร้องเพลงตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จะมีดนตรีหรือไม่มีก็ได้ การขับร้องหมู่
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ
2.1 การขับร้องหมู่แบบธรรมดา
2.2การขับร้องหมู่แบบประสานเสียง
การดูแลรักษาเสียง
เสียงร้องที่ไพเราะเกิดจากการออกเสียงที่ถูกวิธี ในสภาพร่างกายที่สมบรูณ์แข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี
แจ่มใส ดังนั้นการดูแลรักษาเสียงที่ดี คือ การดูแลอวัยวะทุกส่วนของร่างกายให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
ตลอดเวลา ทำจิตให้ร่าเริงแจ่มใสและต้องฝึกฝนการออกเสียงอย่างถูกต้อง
แจ่มใส ดังนั้นการดูแลรักษาเสียงที่ดี คือ การดูแลอวัยวะทุกส่วนของร่างกายให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
ตลอดเวลา ทำจิตให้ร่าเริงแจ่มใสและต้องฝึกฝนการออกเสียงอย่างถูกต้อง
จุดประสงค์การฝึกซ้อมการขับร้องเพลง
จุดประสงค์การฝึกช้อมการขับร้องเพลง
1.ท่าทางการยืน
2.การหายใจและการควบคุมการใช้ลม
3.ออกเสียงสระได้ชัดเจน
4.ออกเสียงพยัญชนะได้ชัดเจน
5.ภาษาชัดเจน
6.มีเสียงก้องกังวาน
7.รู้จักเสียงของตนเอง
8.รู้จักวิธีการฝึกซ้อม
9.รู้จักวิธีการตีความบทเพลง
10.แสดงได้
11.ร้องประสานเสียงได้
12.รักษาสุขภาพ
13.รู้จักการพัฒนา
การบรรเลงดนตรี
หลักและวิธีการบรรเลงดนตรี
หลักและวิธีการบรรเลงดนตรีโดยทั่วไป ได้แก่ การนั่งหรือยืนบรรเลงด้วยบุคลิกที่สง่างาม
หลังตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง ไม่เกร็ง มีสมาธิ จัดท่าท่างการจับอปุกรณ์คสนตรีและปฏิบัติตาม
วิธีการของเครื่องดนตรีแต่ละชนิด
รูปแบบการบรรเลงดนตรี
1.การบรรเลงเดี่ยว เป็นการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี 1 ชิ้น บรรเลงทำนองเพลง หรือการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี 1 ชิ้น
2.การบรรเลงหมู่ เป็นการบรรเลงเครื่องดนตรี 2-9 ชิ้น โดยใช้เครื่องดนตรีประเภทเดียวกัน หรือ หลายประเภท
3.การบรรเลงหมู่ขนาดใหญ่ เป็นการบรรเลงเครื่องดนตรีจำนวนมากและจัดรูปแบบเช่นเดียวกับวงโยธวาทิต
การฝึกปฏิบัติการขับร้องและบรรเลงดนตรี
1.การจำเพลง ได้แก่ การออกเสียงตามสัญญาณมือ 1-2 แนว การออกเสียงตามโน้ตทำนองเพลง การระบุชื่อเพลงจากโน๊ตทำนองเพลงที่นักเรียนรู้จัก
2.การด้นสด หมายถึง การคิดแนวขับร้องและบรรเลงดนตรีใหม่โดยทันที ได้แก่ การสร้ารูปแบบของจังหวะเพื่อใช้บรรเลงเพลงประกอบทำนองเพลง ออกเสียงและบรเลงดนตรีตามโน้ตในกุญแจเสียงต่าง ๆ
การฝึกปฏิบัติการขับร้องเดี่ยว ขับร้องหมู่และขับร้องประสานเสียง
เริ่มจากการขับร้องจนสามารถขับร้องในกลุ่มได้ถูกต้องจึงฝึกการขับร้องเดี่ยวและขับร้องเพลงปรานเสียง
เพลงสำหรับการขับร้องเดี่ยวและขับร้องหมู่
1. เพลงพิ้นเมือง
2.เพลงไทย
3.เพลงสากล
เพลงประสานเสียง
1.เพลงวน
2.เพลงประสานเสียง 2 แนว
3.เพลงประสานเสียง 3 แนว
การฝึกปฏิบัติเครื่องดนตรีเฉพาะอย่าง
1.เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงจังหวะ
1.1 เครื่องดนตรีพื้นเมือง เช่น โทน กลองยาว ฉิ่ง เป็นต้น
1.2 เครื่องดนตรีไทย เช่น กลองแขก ฉิ่ง ฉาบ กรับ เป็นต้น
1.3 เครื่องดนตรีสากล เช่น กลองเบส กลองแท็ก ฉาบ เป็นต้น
2. เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงทำนอง
2.1 เครื่องดนตรีพื้นเมือง เช่น ระนาด อังกะลุง ฉาบ เป็นต้น
2.2 เครื่องดนตรีไทย เช่น ระนาดเอก ขลุ่ย ซออู้ ฮอด้วง เป็นต้น
2.3 เครื่องดนตรีสากล เช่น เมโลเดียน คีย์บอร์ด ไวโอลีน กีตาร์ เป็นต้น
การบรรเลงดนตรี
การรบรรเลงเดี่ยว เป็นการบรรเลงโดยเครื่องดนตรีสร้างทำนองเพียงเครื่องเดียว โดยมีเครื่องเคาะจังหวะบรรเลงประกอบด้วย ปกติเพลงที่ใช้บรรเลงเดี่ยวจะเป็นเพลงขับร้องและบรรเลงหมู่ทั่วไป
ซออู้ เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่ใช้ร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น ๆ โดยเฉพาะในพิธีเชิญผีไท้ ผีแถน การใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านของชาวอีสานมักจะประดิษฐ์ขึ้นให้สอดตล้องกับธรรมชาติของเสียงในขณะที่มรเสียงต่ำก็จะใช้ซออู้แทนเพื่อให้คล้ายคลึงกับเสียงผู้เฒ่าใช้ซอด้วงแทนเสียงหนุ่มสาวซออู้แทนเสียงธรรมชาติ
ลักษณะของซออู้ เป็นซอสองสาย ตัวกะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว โดยตัดปาดกะลาออกเสียด้านหนึ่งและใช้หนังลูกวัวขึงหน้าซอ กว้างประมาณ 13-14เซนติเมตร เจาะกโหลกให้ทะลุตรงกลาง เพื่อให่คันทวนที่ทำไม้ผ่านกะโหลกลงไปออกทะลุรูตอนล่างใกล้กะโหลกคันลูกบอกซออู้ยาวประมาณ17-18 เซนติเมตร ใช้เชือกผูกรั้งกับทวนตรงกลางเป็นรัดอกเวลาสี ส่วนคันสีชองซออู้ทำด้วยไม่ยาวประมาณ 70 เซนติเมตร ใช้ขนหางม้าประมาณ 160-200 เส้น ตรงหน้าซอใช้ผ้าม้วนกลมๆ แกะสลักเป็นรูปลวดลายสวยงามและเป็นช่องทางให้เสียงออกด้านนี้
วิดีโอการขับร้องเพลงไทย
หลักและวิธีการขับร้องเพลงสากล
หลักและวิธีการขับร้องเพลงสากล
การร้องเพลง เกิดขึ้นพร้อมๆกับมนุษย์ เมื่อต้องการจะแสดงความรู้สึกนึกคิดแสดงอารมณ์
หรือสิ่งที่ได้พบเห็นออกมาเป็นคำพูด การระบายออกมาเป็นคำพูดครั้งแรกยังไม่มีความไพเราะ
งดงามลึกซึ้งพอกับความต้องการของตน จึงบรรยายออกเป็นร้อยกรอง มีจังหวะ ต่อมาการแสดง
ความรู้สึกนั้นมีมากเกินกว่าจะสรรหาคำพูดที่จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดนั้นได้ จึงหาวิธี
ระบายออกที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นอีกจนกลายเป็นการร้องเพลงในที่สุด
หรือสิ่งที่ได้พบเห็นออกมาเป็นคำพูด การระบายออกมาเป็นคำพูดครั้งแรกยังไม่มีความไพเราะ
งดงามลึกซึ้งพอกับความต้องการของตน จึงบรรยายออกเป็นร้อยกรอง มีจังหวะ ต่อมาการแสดง
ความรู้สึกนั้นมีมากเกินกว่าจะสรรหาคำพูดที่จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดนั้นได้ จึงหาวิธี
ระบายออกที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นอีกจนกลายเป็นการร้องเพลงในที่สุด
การร้องเพลงในขั้นต้น เป็นการร้องในพิธีศาสนาในการสวดอ้อนวอนพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตน
เคารพนับถือ เพื่อขอสิ่งที่ตนต้องการ ต่อมาได้กลายเป็นเสียงเพลงในการบันเทิงผ่อนคลายความ
ตึงเครียดในยามว่าง เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและผ่อนคลายอริยาบถ เช่น เพลงร้องและ
ระบำต่าง ๆ
เคารพนับถือ เพื่อขอสิ่งที่ตนต้องการ ต่อมาได้กลายเป็นเสียงเพลงในการบันเทิงผ่อนคลายความ
ตึงเครียดในยามว่าง เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและผ่อนคลายอริยาบถ เช่น เพลงร้องและ
ระบำต่าง ๆ
สิ่งที่จำเป็นในการขับร้องเพลง
ในการขับร้องเพลงของคนเรานั้นสิ่งที่นับว่ามีความจำเป็นสำหรับการขับร้องเพลง ได้แก่
สิ่งต่าง ๆ ดังนี้ คือ เสียง ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ สมาธิ และวิธีฝึกที่ถูกต้อง
สิ่งต่าง ๆ ดังนี้ คือ เสียง ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ สมาธิ และวิธีฝึกที่ถูกต้อง
1. เสียง เสียงของคนเราเกิดจากการสั่นสะเทือนของ สายเสียง(Vocal Cord) ในลำคอ
เสียงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเสียงขั้นต้น ไม่มีความดังกังวานเพียงพอ ต้องอาศัยอวัยะส่วนอื่นๆช่วยปรับ
แต่งให้เสียงดังกังวานและมีระดับเสียงต่ำ เสียงกลาง เสียงสูง บริเวณที่ช่วยขยายเสียงให้ระดับเสียง
ต่างๆดังกล่าว ได้แก่
เสียงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเสียงขั้นต้น ไม่มีความดังกังวานเพียงพอ ต้องอาศัยอวัยะส่วนอื่นๆช่วยปรับ
แต่งให้เสียงดังกังวานและมีระดับเสียงต่ำ เสียงกลาง เสียงสูง บริเวณที่ช่วยขยายเสียงให้ระดับเสียง
ต่างๆดังกล่าว ได้แก่
-บริเวณลำคอและทรวงอก ช่วยขยายเสียงระดับต่ำ
-บริเวณลำคอและโพรงจมูก ช่วยขยายเสียงระดับกลาง
-บริเวณหน้าผากและโพรงกะโหลกศีรษะ ช่วยขยายเสียงระดับสูง
ในกรณีที่ใช้เสียงดังมากเกินไป เช่น ตะโกน หรือเกิดอาการเจ็บป่วยที่บริเวณที่ทำให้เกิดเสียง
ก็จะทำให้เสียงแหบแห้ง หรือเสียงหายไป การที่คนเราจะมีเสียงไพเราะน่าฟังหรือไม่นั้น โดยปกติ
แล้วจะเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สร้างขึ้นมาให้คู่กับตัวเรา แต่การที่จะทำให้เสียงมีพลัง มีความดัง
สม่ำเสมอ และสามารถควบคุมได้นั้น จะต้องอาศัยการฝึกหัดให้เกิดความเคยชิน การฝึกเสียงให้มี
พลัง มีความดังสม่ำเสมอและสามารถควบคุมระดับเสียงได้ตามต้องการนั้นจะต้องฝึกการหายใจ
ควบคู่ไปกับการออกเสียง
ก็จะทำให้เสียงแหบแห้ง หรือเสียงหายไป การที่คนเราจะมีเสียงไพเราะน่าฟังหรือไม่นั้น โดยปกติ
แล้วจะเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สร้างขึ้นมาให้คู่กับตัวเรา แต่การที่จะทำให้เสียงมีพลัง มีความดัง
สม่ำเสมอ และสามารถควบคุมได้นั้น จะต้องอาศัยการฝึกหัดให้เกิดความเคยชิน การฝึกเสียงให้มี
พลัง มีความดังสม่ำเสมอและสามารถควบคุมระดับเสียงได้ตามต้องการนั้นจะต้องฝึกการหายใจ
ควบคู่ไปกับการออกเสียง
2. ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอีกประการ
หนึ่งสำหรับการขับร้องเพลง โดยปกติแล้วการขับร้องเพลงจะต้องใช้พลังของเสียงกล้ามเนื้อเกี่ยวกับ
การออกเสียงและการหายใจ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการทำงานอย่างหนึ่งที่ต้องใช้พลังที่มีอยู่ในร่างกาย
ถ้าร่างกายไม่เแข็งแรงสมบูรณ์พลังเสียงที่จะใช้ในการขับร้องก็จะไม่ดังพอและเสียงไม่ต่อเนื่องเท่าที่
ควร เสียงเพลงที่ออกมาก็จะไม่มีความไพเราะ ในการเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์นั้นมีแนว
ปฏิบัติดังนี้
หนึ่งสำหรับการขับร้องเพลง โดยปกติแล้วการขับร้องเพลงจะต้องใช้พลังของเสียงกล้ามเนื้อเกี่ยวกับ
การออกเสียงและการหายใจ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการทำงานอย่างหนึ่งที่ต้องใช้พลังที่มีอยู่ในร่างกาย
ถ้าร่างกายไม่เแข็งแรงสมบูรณ์พลังเสียงที่จะใช้ในการขับร้องก็จะไม่ดังพอและเสียงไม่ต่อเนื่องเท่าที่
ควร เสียงเพลงที่ออกมาก็จะไม่มีความไพเราะ ในการเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์นั้นมีแนว
ปฏิบัติดังนี้
2.1 ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น ว่ายน้ำ วิ่งเหยาะๆ กระโดดเชือก ฯลฯ
2.2 พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย (ไม่มากหรือน้อย
เกินไป)
เกินไป)
2.3 รับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย
2.4 ไม่เสพสิ่งเสพย์ติดทุกชนิด
2.5 พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีมลพิษ
3. สมาธิ สมาธิในที่นี้หมายถึงการทำจิตใจให้จดจ่อกับสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ เช่น กำลังจะ
เริ่มร้องเพลงแต่ในขณะนั้นจิตใจวอกแวก ไม่ได้จดจ่อกับเสียงดนตรี ทำนอง และจังหวะของเพลง
ก็จะทำให้การร้องเพลงไม่ดีเท่าที่ควร ในกรณีที่เริ่มฝึกหัดร้องเพลงใหม่ๆ ถ้าไม่มีสมาธิแล้วก็จะมี
ปัญหาในการร้องเพลงมาก เพราะจะไม่สามารถจับจังหวะเสียงของดนตรีและทำนองเพลงได้
จะทำให้การขับร้องเพลงไม่ลงจังหวะเสียงร้องขัดกับเสียง ดนตรี หรือร้องผิดทำนองผิดระดับเสียง
เริ่มร้องเพลงแต่ในขณะนั้นจิตใจวอกแวก ไม่ได้จดจ่อกับเสียงดนตรี ทำนอง และจังหวะของเพลง
ก็จะทำให้การร้องเพลงไม่ดีเท่าที่ควร ในกรณีที่เริ่มฝึกหัดร้องเพลงใหม่ๆ ถ้าไม่มีสมาธิแล้วก็จะมี
ปัญหาในการร้องเพลงมาก เพราะจะไม่สามารถจับจังหวะเสียงของดนตรีและทำนองเพลงได้
จะทำให้การขับร้องเพลงไม่ลงจังหวะเสียงร้องขัดกับเสียง ดนตรี หรือร้องผิดทำนองผิดระดับเสียง
แนวปฏิบัติในการขับร้อง
การขับร้องเพลงไทย (เดิม) จะต่างไปจากการขับร้องเพลงตามแนวสากลอยู่บ้าง กล่าวคือ การขับร้องเพลงไทยมีการเอื้อนทำนองเพลงคลุกเคล้าไปกับคำร้องโดยตลอด ผู้ขับร้องจะต้องรู้จักหลักการใส่อารมณ์และความรู้สึกลงไปในการเอื้อนทำนองร้อง รู้จักแต่งลีลาในการขับร้องให้สละสลวย โดยสรุปแล้วการขับร้องเพลงไทยและการขับร้องเพลงตามแนวสากลก็จะมีแนวปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน
แนวปฏิบัติในการขับร้องเพลงมีดังนี้
1. ศึกษาทำนองเพลงให้เข้าใจว่าเป็นเพลงประเภทใด ให้อารมณ์อย่างไร เช่น อารมณ์โศกเศร้า สนุกสนาน หรือเป็นเพลงที่ต้องการความสง่าผ่าเผย หรือปลุกใจให้ฮึกเหิมเข้มแข็ง เป็นต้น ในการขับร้องเพลงนั้นจะต้องใส่อารมณ์ให้ถูกต้องเหมาะสมกับทำนองเพลงนั้นๆ
2. ศึกษาคำร้องให้เข้าใจว่ามีความหมายอย่างไร ตรงไหนควรเน้นเสียงหรือทอดเสียงตรงไหนควรใช้สำเนียงการร้องอย่างไรจึงจะได้อารมณ์ที่เหมาะสมกับบทเพลง
3. ปรับจิตใจและอารมณ์ของผู้ขับร้องให้คล้อยตามอารมณ์ของเพลง ถ้าผู้ขับร้องสามารถเข้าถึงบทเพลงขับร้องด้วยความรู้สึกที่เป็นไปตามบทเพลงจริงๆก็จะสามารถโน้มน้าวจิตใจของผู้ฟังให้คล้อยตามได้
4. แสดงท่าทางและสีหน้าให้เข้ากับบรรยากาศของเพลง อย่าขับร้องด้วยกิริยาอาการที่เฉยเมย ไม่แสดงกิริยาท่าทางมากจนเกินไป และขณะที่ขับร้องเพลงไม่ความล้วง แคะ แกะ เกา
5. ร้องให้ถูกต้องตามคำร้อง ทำนอง และร้องให้ตรงตามจังหวะ ในกรณีที่เป็นเพลงไทย (เดิม) จะต้องเอื้อนให้ถูกต้องตามทำนองเพลง
6. ร้องให้ตรงตามระดับเสียงของทำนองเพลง ไม่ควรหลบเสียง
7. ร้องให้เต็มเสียง ออกเสียงพยัญชนะและอักขระให้ถูกต้องชัดเจน
8. แบ่งวรรคตอนของการหายใจให้ถูกต้องเหมาะสมกับบทเพลงนั้นๆ
การฝึกหายใจ
การที่จะร้องเพลงให้เกิดความไพเราะ นอกจากต้องร้องให้ถูกทำนอง ถูกจังหวะ ถูกอักขระวิธีแล้ว ยังต้องรู้จักทอดเสียงนั้น ยาว หนัก เบา ด้วยเทคนิคต่างๆได้ดีอีกด้วย การที่จะขับร้องให้ไพเราะและถูกต้องนี้อยู่ที่การฝึกใช้ลม ฝึกการหายใจ และรู้จักแบ่งวรรคตอนของเพลงอีกด้วย
การที่จะต้องร้องเพลงเสียงสูงๆ และยาวได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องอาศัยปอดและอวัยวะการออกเสียงที่แข็งแรง การฝึกให้ใช้อวัยวะเหล่านั้นได้คล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพทำได้ดังนี้ คือ
1. ฝึกหัดหายใจด้วยท้อง โดยตามปกติคนเราจะหายใจด้วยปอด แต่ในการฝึกขับร้องนี้ให้สูดลมเข้าไปในช่องท้องด้วย เมื่อสูดลมเข้าไปถูกวิธีท้องจะป่องออกมาเล็กน้อย ให้อัดลมเข้าไว้ให้มากที่สุด
2. ค่อยๆ ระบายลมออกมาทางปากช้าๆจนหมด แล้วจึงสูดลมเข้าไปใหม่
3. การที่จะอัดลมไว้ได้มากและระบายลมได้สม่ำเสมอเป็นเวลานาน ควรนั่งหรือยืนตัวตรง ศีรษะตั้งตรง
4. เมื่อฝึกการหายใจเข้าและเก็บลมไว้ได้มาก ตลอดจนรู้จักวิธีระบายลมออกมาอย่างสม่ำเสมอได้แล้ว ให้ระบายลมออกมาด้วยการออกเสียงด้วย เช่น ออกเสียงว่า เออ...... หรือ ลา.... นานๆ โดยการนับหรือเคาะจังหวะไปด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น